ปิด จันทร์ - อังคาร

GAZA (กาซ่า)

   

แกลเลอรี่ โอเอซิส  หอศิลป์ล้ำมิติกลางเมือง 

ภูมิใจเสนอ   

กาซ่า

.

นิทรรศการศิลปะโดย

วสันต์ สิทธิเขตต์

อิ๋ง กาญจนะวณิชย์

มานิต ศรีวานิชภูมิ

.

17 พฤษภาคม – 31 สิงหาคม 2568

(เปิดนิทรรศการ เสาร์ 17 .. เวลา 18.00 – 21.00 .)

.

การปิดบังความจริง

เพื่อปกป้องความรู้สึกผู้คนที่ใจปิดจิตคับแคบนั้นมีขอบเขต  

ซึ่งเมื่อล้ำเส้นไป  จะนำพามวลมนุษยชาติสู่ความเสื่อมทราม 

ปรมาจารย์ซูฟี่ ไฮดาร์ กุล

 .

ความสยดสยองเดียวกันในฝันร้ายอันไม่รู้จบของปาเลสไตน์  ผลักดันให้ศิลปินไทยต่างสื่อ 3 คน เกิดปฏิกิริยาต่อการล้างเผ่าพันธุ์ที่กาซ่าในวิธีของแต่ละคน  จากหัวจู๋จรวดนิวเคลียร์ยักษ์ของอเมริกาและอิสราเอล  ที่ประกาศว่า “ในนามพระเจ้าเราระเบิด” ของจิตรกร วสันต์ สิทธิเขตต์; กำแพงบทกวีแห่งความเกลียดชังจาก ‘ฉันกลายมาเป็นผู้ก่อการร้ายได้อย่างไร’ โดย อิ๋ง กาญจนะวณิชย์  นักทำหนังสยองขวัญที่โดนล่าแม่มด; ไปจนถึง ‘เด็กของพระเจ้า’ โดยศิลปินภาพถ่าย มานิต ศรีวานิชภูมิ  ซึ่งปรับปรุงรูปแบบของผลงานไว้อาลัยเหยื่อชาวยิวที่ถูกนาซีล้างเผ่าพันธุ์ให้สะท้อนสถานการณ์ปัจจุบัน  แน่นอนว่าต้องมีอะไรสักอย่างที่จะสะกิดให้ใครสักคนโกรธ  อย่างไรก็ดี ยามที่เผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมานอันมโหฬารและมหาศาลของมนุษย์  และความชั่วร้ายที่ชัดเจนเด่นชัดเช่นนี้  จิตสำนึกในความเป็นมนุษย์ของคนเราอยู่ตรงไหน? 

—————————————

**พิเศษจัดฉาย “No Other Land” ภาพยนตร์สารคดีรางวัลออสการ์ล่าสุดโดย บาเซล อัดรา, ฮัมดาน บัลลาล, ยูวาล อับราฮัม และ ผู้กำกับร่วมปาเลสไตน์และอิสราเอล ซิเนม่าโอเอซิส ตลอดช่วงแสดงนิทรรศการกาซ่า

—————————————

เพื่อสันติภาพในกาซ่า และโลกนี้!

ผมรักสันติภาพ อยากเห็นโลกนี้มีสันติสุข ไม่ชอบการกดขี่ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบ ไม่ชอบการเหยียดผิวเผ่าพันธุ์ ทุกคนเกิดมาอยู่ร่วมกันในโลกธรรมชาติ ทุกสิ่งควรแบ่งปัน ร่วมกันดูแลทรัพยากรส่วนรวมให้ยั่งยืน

โลกนี้ดำรงอยู่เพื่อเราทุกคน

ที่เกิดมาอาศัยอยู่เพียงชั่วคราว

ชีวิตแสนสั้น การเอาเปรียบกดขี่ขูดรีดคือความชั่วร้าย ที่ เราทุกคนต้องต่อต้าน ปฏิบัติการทุกรูปแบบเพื่อหยุดยั้งมัน! สงครามเพื่อปล้นสะดมแย่งชิงทรัพยากร แย่งยึดพื้นที่ สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คือความชั่วช้าที่สุด มนุษย์ต้องเห็นอกเห็นใจในความยากจนทนทุกข์ของเพื่อนร่วมโลก!

เขาต้องตระหนักรู้ถึงความรักเมตตาปราณี  ปรารถนาดีต่อกัน 

ร่วมกายใจสร้างสันติสุขให้เกิดมีในโลกนี้!!! หยุดสงครามเข่นฆ่า!!

หยุดสร้างอาวุธร้ายฆ่าคน!

ไม่มีชนชาติใดเหนือชนชาติอื่น

ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนดีกว่าพระเจ้าองค์อื่น!!!

ชีวิตของทุกคนล้วนมีค่า ทุกคนมีความสำคัญทั้งสิ้น 

ควรช่วยกันทำแบ่งกันกิน บนแผ่นดินสันติสุขเท่าเทียมยุติธรรมสถาพร !

วสันต์ สิทธิเขตต์

22 เมษายน 2568

—————————————

เด็กของพระเจ้า, 2568

มานิต ศรีวานิชภูมิ

ศิลปินจะบันทึกประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์โดยรัฐบาลอิสราเอลของนายเนทันยาฮูอย่างไร?  ในอดีต Christian Boltanski (1944 – 2021) ศิลปินฝรั่งเศสเชื้อสายยิวได้สร้างผลงานชุดหิ้งบูชาให้แก่เหยื่อชาวยิวที่ถูกสังหารโหดโดยฮิตเลอร์นาซี โดยนำภาพขาว-ดำเก่าใบหน้าเหยื่อเหล่านั้นมาแหวนประดับ  แล้วใช้โคมไฟขนาดเล็กส่องไปยังใบหน้าของพวกเขา  ผลงานชุดนี้เรียบง่าย  เคร่งขรึม  เต็มไปด้วยความน่ากลัวและความเศร้าหมอง  ซึ่งศิลปินสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อต่อต้านสงคราม  น่าเสียดายที่ Boltanski จากไปก่อนเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2566 เกิดขึ้น  เมื่อรัฐบาลอิสราเอลปฏิบัติการตอบโต้การโจมตีของกลุ่มฮามาสอย่างรุนแรง จนบานปลายไปสู่การถล่มบ้านเรือนประชาชน  โรงเรียน  โรงพยาบาล  ศาสนสถาน  ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 50,000 คน  ในจำนวนนี้เป็นเด็กกว่า 13,000 คน  ถือเป็นสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยุคใหม่ซึ่งยังคงดำเนินอยู่อย่างไม่หยุดยั้ง  โอกาสนี้ในฐานะศิลปินภาพถ่ายจึงขอหยิบยืมวิธีการและรูปแบบของ Boltanski มาอัพเดตเนื้อหาในผลงานของเขาให้ทันสมัยเข้ากับเหตุการณ์โลกปัจจุบัน  ด้วยการแทนรูปขาว-ดำใบหน้าชาวยิวเหยื่อนาซีด้วยภาพถ่ายสีจากข่าวออนไลน์ รูปใบหน้าเด็กๆ ชาวปาเลสไตน์จากฉนวนกาซ่า ที่บาดเจ็บและตกอยู่ในอาการช็อคเพราะแรงระเบิดของทหารอิสราเอล  โดยมีเสื้อผ้าเก่าของบุคคลนิรนามกองสุมอยู่ตรงหน้า  นี่คือ ความพยายามบันทึกประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ยุคใหม่โดยฝีมือชาติพันธุ์ที่เคยตกเป็นเหยื่อ

—————————————

ฉันกลายมาเป็นผู้ก่อการร้ายได้อย่างไร

แถลงการณ์ศิลปิน อิ๋ง กาญจนะวณิชย์

เมินอย่างไรก็ไม่มีวันหลบข้อเท็จจริงนี้ได้:  โศกนาฏกรรมเกินทนดูดายอันไม่มีวันจบสิ้นของปาเลสไตน์นั้น  ทำให้เราได้เห็นการมองโลกของคนขาวอย่างชัดแจ้งแจ่มชัดว่า คนขาวไม่มีวันผิดและฆ่าเด็กสีน้ำตาลไม่บาป  ซึ่ง  เมื่อผนวกกับความเกี่ยวเนื่องอันน่าประหลาดใจของทุกสิ่ง  ล้วนพาให้ฉันต้องสรุปว่า  สยามไม่มีวันเป็นไท  จนกว่าปาเลสไตน์จะเสรี

ตาชิ้น  พ่อของแม่ฉัน  เป็นทูตไทยประจำสหประชาชาติในคณะกรรมการประเด็นปาเลสไตน์  สงครามโลกที่สองเพิ่งจบลง  และยูเอ็นที่เพิ่งเกิดใหม่ยังตั้งอยู่ที่ทะเลสาบซัดเซสที่รัฐนิวยอร์ค  ทั้งตาชิ้นและนายของท่าน  คือนายก ปรีดี พนมยงค์  เคยเป็นหัวหน้าขบวนการเสรีไทยที่ร่วมรบเคียงข้างฝ่ายพันธมิตรในช่วงสงคราม  แต่ท่านทั้งสองเป็นคนอิสระที่มีความคิดเป็นตัวของตัวเอง  ไทยลงคะแนนไม่เห็นด้วยกับการก่อตั้งประเทศอิสราเอลในแผ่นดินของปาเลสไตน์  ไม่นานเกินรอ  ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 สหรัฐสนับสนุนการทำรัฐประหารนำโดย จอมพล ผิน ชุณหะวัณ  ท่ามกลางการสร้างความชอบธรรมบนความสูญเสียของประชาชน  เช่นการตะโกนในโรงหนังว่า ‘ปรีดีฆ่าในหลวง’ และการรับลูกโดยสื่อจัดตั้ง  ในกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 อันเร้นลับ (โดยพระแสงปืนของพระองค์  ขณะที่ประทับอยู่ตามลำพังในห้องบรรทมของพระองค์เอง  เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2489)  มีการนำเผด็จการฟาสซิสต์ที่ร่วมมือกับญี่ปุ่นออกมาจากคุกอาชญากรสงครามในญี่ปุ่นอย่างง่ายดาย  กลับมาปกครองประเทศไทยต่อไป  ชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกาน่าจะสบายใจกว่าที่จะใช้คนเหล่านี้เป็นหุ่นเชิดหุ้นส่วน  ในสงคราม ‘เย็น’ ต่อต้านคอมมิวนิสต์ที่กำลังเริ่มต้น  คนที่ขายชาติให้ญี่ปุ่นไม่น่ามีปัญหาที่จะขายชาติให้อเมริกา  แน่นอนว่าเขาย่อมว่านอนสอนง่ายกว่าไอ้พวกมีอุดมการณ์รักชาติจริงๆ   

และแล้ว  หลังรัฐประหาร  การออกเสียงของไทยว่าไม่เห็นด้วยกับการก่อตั้งประเทศอิสราเอลในปาเลสไตน์  ต้องเปลี่ยนเป็น “งดออกเสียง”   ตาชิ้นเล่าให้ลูกๆ ฟังว่าในห้องนั้นมีเสียงเฮด้วย  เมื่อไทยงดออกเสียง

ลองนึกภาพฝรั่งเศสสมมติหลังสงคราม  ว่าแทนที่พลเอก เดอโกลล์ หัวหน้าฝรั่งเศสเสรี  จะได้เป็นรัฐบาล  กลับมีการเนรเทศท่านไป  แล้วเอารัฐบาลวีชชี่ที่ร่วมมือกับนาซีกลับคืนสู่อำนาจ  เพื่อปกครองและจำกัดความสิ่งที่เรียกว่าเป็นฝรั่งเศส: ค่านิยมและมารยาทสังคม, ความรักชาติ, ดนตรี, ภาพยนตร์, การศึกษา  ในกรณีของเรา  ผู้ร่วมมือกับญี่ปุ่นและอเมริกา  เป็นผู้ที่เขียนตำราประวัติศาสตร์สำหรับเด็กไทยทุกรุ่นจนถึงปัจจุบัน  ผู้นำฟาสซิสต์เหล่านี้เคยออกกฎหมายบังคับให้ประชาชนใส่หมวกใส่เกือกแบบฝรั่งและจูบลาเมียก่อนออกจากบ้านไปทำงาน – ซึ่งบ่งบอกชัดแจ๋วถึงความเห่อฝรั่งแบบปัญญาอ่อน – กลายเป็นผู้กำหนดลักษณะของ ‘ความเป็นไทย’ จนถึงทุกวันนี้  ถึงขนาดว่าไม่มีใครเห็นเป็นเรื่องแปลกที่ทั้งประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทย  เสรีไทยเคยปรากฏตัวเพียงบทเดียวคือ  เป็นผู้ร้ายที่วิทยุไปบอกพันธมิตรให้ทิ้งระเบิดที่ฆ่าพระเอกทหารญี่ปุ่นรูปหล่อ โกโบริ ตายอย่างอนาถในอ้อมแขนสะอึกสะอื้นของเมียไทย

ตาชิ้นไม่ใช่เหยื่อรายเดียวในครอบครัวเราของเหตุการณ์เหล่านี้  อาของภรรยาของท่าน  ซึ่งเป็นมหาดเล็กหน้าห้องบรรทม  ถูกประหารโดยการยิงเป้าโทษฐานสมคบคิดกับปรีดีฆ่าในหลวง  ไม่มีข้อสงสัยใดเลยในใจฉันว่าการก่อตั้งอิสราเอลมีผลโดยตรงต่อโศกนาฏกรรมทั้งหลายนี้  ที่ได้จำกัดความและหล่อหลอมเรา   สาปแช่งและสร้างความสับสนไม่รู้จบแก่เรา  เมื่ออเมริกายึดอำนาจเหนือบ้านเกิดของเรามาทำฐานทัพก่อสงครามของเขาในอินโดจีน  แม้กระทั่งทุกวันนี้  เขาก็ยังคงครอบงำทุกสิ่งทุกอย่างไม่เพียงแค่การเมือง, สื่อ  และวิชาการ  แต่รวมไปถึงโลกศิลปะและภาพยนตร์  ซึ่งถูกกำหนดเนื้อหาและทิศทางโดยยามเฝ้าประตูและสถาบันที่ก่อตั้งและส่งเสริมโดยนักล่าอาณานิคม  ที่คอยแทงบัญชีดำศิลปินไทยที่นำเสนอเรื่องราวเนื้อหาที่ขัดต่อ ‘ความเป็นจริง’ ฉบับของเจ้านาย

การที่เจ้าหน้าที่ยูเอ็นตายไปเกือบสามร้อยคนตั้งแต่เหตุการณ์๗ตุลา  ย่อมกระทบความรู้สึกฉัน  ที่กาลครั้งหนึ่งนานมาเคยเป็นเจ้าหน้าที่ยูเอ็นในค่ายผู้ลี้ภัยสงคราม  แล้วยังบทสัมภาษณ์อาจารย์ประวัติศาสตร์ปาเลสไตน์ท่านหนึ่งที่ถูกล่าแม่มดที่ฉันได้ดูไม่นานมานี้  ทำให้ชะตากรรมของกาซ่าทิ่มแทงลึกกลางดวงใจยิ่งกว่าเดิม  ประสบการณ์ของเธอ – การสาดโคลน, การแบล็คลิสต์, การด่าทอออนไลน์, การข่มขู่  มันเหมือนกับที่ฉันเคยเจอทุกประการในฐานะนักทำหนังไทยที่โดนแบล็คลิสต์และแบนห้ามฉาย  และในฐานะพยานประวัติศาสตร์   ตาชิ้นเป็นพยานประวัติศาสตร์ปกป้องปรีดี  ท่านกลายเป็นหมาขี้เรื้อน  อาจารย์ประวัติศาสตร์ปาเลสไตน์ผู้น่าสงสารคนนั้นก็เป็นหมาขี้เรื้อน  ส่วนฉันเป็นหมาขี้เรื้อนเพราะทำหนังเรื่องไฟใต้และบันทึกปิดกรุงเทพ  เราจะโกรธจะเสียสติอย่างไรและเขียนบทกวีแห่งความเกลียดชังด่ามันก็ได้  แต่เราต้องยอมรับว่านั่นคือสิ่งที่ย่อมเกิดขึ้น  นั่นคือชะตากรรมเมื่อเราทำให้เจ้านายไม่พอใจ  โดยการยึดมั่นในข้อเท็จจริงของประวัติศาสตร์ของเราเอง  ที่เรากำลังประสบพบเห็นด้วยตาเราเองอยู่ทุกวัน

30 เม.. 2568, กทม.

—————————————

 

—————————————

**พิเศษจัดฉาย “No Other Land” ภาพยนตร์สารคดีรางวัลออสการ์ล่าสุดโดย บาเซล อัดรา, ฮัมดาน บัลลาล, ยูวาล อับราฮัม และ ผู้กำกับร่วมปาเลสไตน์และอิสราเอล ซิเนม่าโอเอซิส ตลอดช่วงแสดงนิทรรศการกาซ่า

—————————————

Galerie Oasis, 4 Sukhumvit 43, Bangkok 10110, THAILAND. 

Open only Thursday – Sunday, 11 am – 7 pm.

P:  +66 (0) 961439798, E: galerieoasis.bk@gmail.com, 

W: galerieoasis.com, FB: galerieoasis.bk